ลักษณะของดนตรีjazz
ดนตรีแจ๊สมีลักษณะแตกต่างกันไปหลายประเภท เช่นเดียวกับดนตรีในศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีหลายรูปแบบดังกล่าวแล้ว เป็นการยากที่จะกล่าวถึงลักษณะดนตรีแจ๊สให้ครบถ้วนเนื่องจากดนตรีแจ๊สมีหลายประเภท สิ่งที่กล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงลักษณะทั่ว ๆ ไปของดนตรีแจ๊ส ในช่วง ค.ศ. 1900 - 1950
1. สีสัน ดนตรีแจ๊สมักบรรเลงด้วยวงขนาดเล็กประมาณ 3 - 8 คน ที่เรียกว่าวงคอมโบหรือวงลักษณะใหญ่ขึ้นมาที่เรียกว่าบิกแบนด์ ซึ่งใช้นักดนตรีประมาณ 10 - 20 คนโครงสร้างสำคัญของการบรรเลงคือเครื่องทำจังหวะ ซึ่งจะเล่นจังหวะในลักษณะเดียวกัน บาสโซคอนตินิวโอ ของเพลงยุคบาโรค ในส่วนนี้มักบรรเลงด้วยเปียโน เบส และครื่องสี บางครั้งอาจมี บันโจ หรือกีตาร์ด้วยเครื่องทำจังหวะเหล่านี้ช่วยทำให้การประสานเสียงน่าสนใจขึ้นด้วย ดนตรีแจ๊สยุคใหม่มักจะมีผู้บรรเลงเครื่องทำจังหวะที่ใช้เครื่องดนตรีนานาชนิด รวมทั้งมาใช้มือทำให้เกิดเสียงต่าง ๆ ด้วย เครื่องดำเนินทำนองหรือเครื่องดนตรีที่ใช้แสดงความสามารถของผู้บรรเลงดนตรี มักประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้และเครื่องลมทองเหลือง ได้แก่ คอร์เนท ทรัมเปท แซกโซโฟน โซปราโน อัลโต เทเนอร์ บาริโทน คลาริเนท ไวบราโฟน และเปียโน นอกจากนี้ยังใช้ มูท ทำให้ได้สีสันของเสียงต่าง ๆ ออกไปอีก แนวการบรรเลงเครื่องดนตรีเหล่านี้ของผู้บรรเลงแต่ละคนมักจะได้สีสันเฉพาะตัว ยังให้ผู้ฟังเพลงประเภทแจ๊สทราบว่า เพลงที่ฟังนั้นมีใครเป็นผู้บรรเลง ซึ่งจะต่างไปจากดนตรีคลาสสิกที่ผู้บรรเลงพยายามบรรเลงให้ตรงตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลงหรือโน้ตที่ปรากฏอยู่
2. การสร้างสรรค์แบบอิมโพรไวเซชัน ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของดนตรีแจ๊สคือการสร้างสรรค์แบบอิมโพรไวเซชัน คือการคิดท่วงทำนอง จังหวะ หรือการประสานเสียงในขณะบรรเลง อย่างไรก็ตาม ดนตรีแจ๊สมิได้เกิดขึ้นโดยการสร้างสรรค์แบบอิมโพรไวเซชันทั้งหมด ส่วนใหญ่ดนตรีแจ๊สมักประกอบด้วยการบรรเลงจากการประพันธ์ประกอบด้วยการอิมโพรไวเซชัน อย่างไรก็ตามการ อิมโพรไวเซชันจัดเป็นเอกลักษณ์สำคัญของการบรรเลงดนตรีแจ๊ส ปกติการอิมโพรไวเซชัน เกิดขึ้นโดยผู้บรรเลงดนตรีแปรเปลี่ยนทำนองหลักไปฉะนั้นรูปแบบของการบรรเลงจึงเป็น ธึม และ แวริเอชัน กล่าวคือการบรรเลงจะเสนอทำนองหลักก่อน จากนั้นเครื่องดนตรีเดี่ยวบางชิ้นจะแปรเปลี่ยนทำนองโดยการอิมโพรไวเซชัน บางครั้งการแปรเปลี่ยนทำนองอาจเป็นการบรรเลงร่วมกันของเครื่องดนตรีเดี่ยวสองหรือสามชิ้น แต่ละตอนของการแปรเปลี่ยนและทำนองหลักมีชื่อเรียกเฉพาะว่า คอรัส ( Chorus ) ดังนั้นเพลงนั้นอาจจะมี 4 - 5 ตอนหรือ 4 - 6 คอรัส เป็นต้น โดยตอนแรกเป็นการเสนอทำนองหลัก
3. จังหวะ ทำนอง และเสียงประสาน จังหวะขัด ( Syncopation ) และจังหวะสวิง เป็นลักษณะจังหวะเด่นของดนตรีแจ๊ส สวิง เกิดจากการบรรเลงจังหวะตบผนวกกับความรู้สึกเบาหรือลอย ความมีพลังแต่ผ่อนคลายในที และการรักษาจังหวะสม่ำเสมอ โดยปกติ เครื่องตี เช่น กลอง ฉาบ และ เบส บรรเลงจังหวะ อัตราจังหวะของเพลงแจ๊สมักจะเป็นกลุ่ม 4 จังหวะ คือ 4/4 แต่จังหวะเน้นแทนที่จะลงด้วยจังหวะที่ 1 และ 3 กลับลงจังหวะที่ 2 และ 4 ส่วนจังหวะขัดจะลงหนักระหว่างจังหวะตบทั้งสี่ นอกจากนี้การบรรเลงจริง ๆ มักจะมีการยึดค่าตัวโน้ต ไมได้ลงจังหวะตามที่เขียนเป็นโน้ตดนตรีเสียทีเดียว การบันทึกดนตรีแจ๊สเป็นโน้ตเพลงที่ถูกต้องจริง ๆ เป้นสิ่งที่กระทำได้ค่อนข้างยาก ด้วยจังหวะการบรรเลงดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้ฟังดนตรีมีความรู้สึกอยากเคลื่อนไหว ยักย้าย ไปตามจังหวะดนตรี
ทำนองก็เช่นเดียวกับจังหวะ มักมีการร้องให้เพี้ยนไปจากเสียงที่ควรจะเป็นตามบันไดเสียง เมเจอร์ หรือ ไมเนอร์ ที่แจ๊สใช้อยู่ เสียงเพี้ยนมักจะต่ำกว่าเสียงที่ควรจะเป็น ปกติมักเกิดขึ้นในเสียง ตำแหน่งที่ 3 5 และ 7 ของบันไดเสียง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า เบนท์หรือบูลโน้ต ( bent or blue notes ) สำหรับเรื่องเสียงประสานแม้จะใช้หลักการตามดนตรีคลาสสิก แต่ได้มีการพัฒนาการสร้าง คอร์ด แปลก ๆ การจัดเรียงของคอร์ดตามแนวทางของดนตรีแจ๊ส ทำให้การประสานเสียงของดนตรีแจ๊สมีเอกลักษณะเฉพาะตัว
ลักษณะของดนตรีแจ๊ส หลัง ค.ศ. 1950 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการพัฒนาไปของเครื่องดนตรีต่าง ๆ และแนวคิดของผู้สร้างสรรค์ดนตรีแจ๊ส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจังหวะ การประสานเสียง รูปแบบ และสีสัน เช่น มีการนำเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาผสมวง เช่น ฟลูท ฮอร์น เชลโล การใช้เสียงอีเลกทรอนิคส์ เปียโนไฟฟ้า เป็นต้น อีกทั้งยังก่อเกิดรูปแบบดนตรีแจ๊สใหม่ขึ้น เช่น ฟรีแจ๊ส แจ๊สร๊อค หรือ ฟิวชั่นและคูลแจ๊ส
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ารูปแบบแจ๊สใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น ดนตรีแจ๊สในรูปแบบดั่งเดิม เช่น ดิกซีแลนด์ บีบอบ บูลส์ ก็ยังอยู่และเป็นที่นิยมของผู้ฟังไม่เสื่อมคลายเช่นกัน